ศิลปะแบบโรแมนติก (Romanticism)

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ทำให้ผู้คนในยุโรปมีความคิดที่สร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เมื่อเข้าสู่สมัยใหม่จึงเกิดศิลปะซึ่งมีความโดดเด่น สวยงาม และมีความเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันมากมาย

ศิลปะแบบโรแมนติก (Romanticism) หรือแบบจินตนาการนิยม เกิดขึ้นในในยุโรปตะวันตก ตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่18 ต่อจากศิลปะแบบนีโอ-คลาสสิก เป็นศิลปะที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจ เร้าใจ แก่ผู้พบเห็น และธรรมชาติ โดยมีความเชื่อว่าคุณค่าของศิลปะเกิดจากอารมณ์ของผู้ชมและผู้สร้างสรรค์ โดยมากแนวคิดของศิลปะในยุคนี้จะสะท้อนออกมาในงานศิลปะแบบภาพวาด ดนตรี และวรรณกรรม

งานศิลปะแบบโรแมนติกได้รับอิทธิพลมาจากการเปลี่ยนแปลงการทางเมือง สังคม และเศรษฐกิจในสมัยนั้น และความคิดแบบเสรีประชาธิปไตย โดยเฉพาะเหตุการณ์การปฏิวัติในฝรั่งเศส การปฏิวัติอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้ชาวยุโรป ละทิ้งเหตุผลตามแบบนีโอ-คลาสสิกที่ยึดติดกับเหตุผล แล้วหันมาทำตามอารมณ์ความต้องการ และความรู้สึกของตนเองอย่างเสรีมากขึ้น

งานจิตรกรรมสมัยโรแมนติกนี้เน้นการใช้ สี เส้น การแรเงา ที่รุนแรง มุ่งให้เกิดความสะเทือนอารมณ์

เช่น

gericault-raft_of_the_medusa

ภาพ Raft of the Medusa (การอับปางของเรือเมดูซา) วาดโดยเจริโคต์ (Theodore Gericault) ในปี ค.ศ. 1818

Terner01

The Slave Ship (เรือบรรทุกทาส) โดยวิลเลียม เทอเนอร์  (Josept Mallord William Turner)
ค.ศ. 1839  สีน้ำมันเป็นต้น

ด้านการดนตรี มีจุดมุ่งหมายที่จะเร้าอารมณ์ความรู้สึกทางจิตใจ ซึ่งมีนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง เช่น ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน (Beethoven) ผู้ประพันธ์เพลง “ซิมโฟนีหมายเลข 9” เป็นต้น

ใส่ความเห็น